
นายดำรงค์ พิเดช สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) และ อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากกรณีที่ นายเปรมชัย กรรณสูตประธานบริหารและ กรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด มหาชน ไปเกี่ยวข้องกับคดีบุกรุกป่าเพื่อล่าสัตว์ ว่า
"เรื่องการล่าสัตว์ ของกลุ่มนายทุนผู้มีเงินหนานั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล คนมีเงินบางคนก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เช่น ไปนอนค้างแรมในพื้นที่จัดให้ โดยไม่มีการบุกรุกผืนป่า แต่กรณีของนายเปรมชัยอาจมองได้ว่าเขามีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว จึงอยากหาโอกาสไปทำสิ่งใหม่ ๆ แต่กลับเลือกทางฝ่าฝืนกฎหมายเข้าไปในพื้นที่ป่าหวงห้าม พอถูกจับก็พบของกลางหลายรายการ แม้จะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องก็ตาม คงต้องไปสู้กันในชั้นศาล เท่าที่ผ่านมาตนเห็นศาลสั่งลงโทษจำเลยทุกคน หนักเบาว่ากันไปตามพฤติกรรม ซึ่งที่ผ่านมาหากมีการบุกรุกเข้าไปจริง ก็ยังไม่เคยเห็นมีคดีไหนสั่งยกฟ้อง...." นายดำรงค์ พิเดช กล่าวและเผยอีกว่า
ในส่วนของการปฎิบัติหน้าที่โดยเฉพาะ นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ถือว่าทำถูกต้องแล้ว ขอยกย่องการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจว่าใครจะใหญ่โตแค่ไหน ส่วนเรื่องที่ควรจะไปขยายผลหลังจากนี้ก็คือ มีใครที่เคยเข้ามาในจุดดังกล่าวบ้าง เชื่อว่าน่าจะคนชี้เป้าว่า "เสือดำ" ออกหากินบริเวณไหน ซึ่งก็ต้องถือว่าเสือตัวนี้โชคร้ายที่ลงมาในจุดนั้นพอดี รวมทั้งอยากให้มีการเสนอกฎหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไปเกี่ยวกับการล่าสัตว์ต่าง ๆ ในชนิดของสัตว์ที่ถูกล่าด้วย เช่น ล่าไก่ล่านก ในป่าเขตหวงห้ามต้องโทษจำคุก 4-5 ปี แต่หากเป็นสัตว์ใหญ่อย่างช้าง-เสือ ก็น่าจะเป็น 10-20 ปี เพื่อให้ผู้ล่าหวั่นเกรงไม่ฝ่าฝืนกฎหมายอีกต่อไป
"ตั้งแต่ผมเคยดำรงค์ตำแหน่งอดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ยังไม่มีเคยเห็นหลักฐานแน่ชัดว่า มีเสือดำในประเทศไทยกี่ตัวกันแน่ เห็นในรูปในคลิปวีดีโอ กี่ตัวกี่ตัวก็หน้าเดิมรูปเดิม ๆ เหมือนกันหมด ลองคิดดูว่า ถ้าเสือดำตัวนี้เป็นตัวสุดท้าย จะเกิดอะไรขึ้น....ประเทศไทยเสียหายขนาดไหน ทำไมถึงยังคิดจะไปล่าสัตว์เหล่านี้กันอยู่!!!! นายดำรงค์ กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
ขอบคุณที่มา เดลินิวส์